30.11.55

Code Breaker โค้ดเบรกเกอร์ ซับไทย






(ตอนนี้มีแค่ 9 ตอน  ไว้มากกว่านี้จะมาลงเพิ่มนะ)


24.11.55

Character::Lady Wings::



Lady Wings

----------------------------------------------------


---ฟีนิกซ์---
ผมสีน้ำตาลแดงของฟีนิกซ์ทำให้นึกถึงนกไฟที่กำลังโบยบิน
มีดวงตาประกายเพลิงที่เหมือนจะอ่านใจผู้อื่นได้
ใจร้อน พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา
รับบทโดย อาโกะ จากเรื่อง ซากิ


---น้ำปรุง---
หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงาม มีกิริยามารยาทดี
มีชื่อในฐานะนักแสดง และลูกสาวของผู้มีอิทธิพลในวงการสื่อ
หากได้ใกล้ชิดกับเธอสักหน่อย  จะรู้ว่า เธอกริ้วเป็นว่าเล่น
รับบทโดย มินโกะ จากเรื่อง โอฮานะ


---กาสะลอง--- 
แลดูสุภาพด้วยผมสีดำรัดเป็นมวยอยู่ด้านหลัง 
และไว้ผมหน้าม้าปรกให้ดูน่ารักสมวัย
เธอเป็นทั้งเพื่อนและสาวใช้ของน้ำปรุง
มีความสามารถทางด้านกีฬาเป็นเลิศ
แต่สิ่งเดียวที่เธอภูมิใจคือ สื่อสารกับสัตว์ได้
รับบทโดย นาโกะ จากเรื่องโอฮานะ


---วนิลา---
ผมสั้นสีน้ำตาลแลดูสดใสร่าเริงอยู่เสมอ
น้ำหนักเพียง 35 กก. และสูงเพียง 145 ซม. ทำให้ดูเหมือนเด็ก
วนิลาเป็นนักสืบที่ไม่ได้ใช้กึ๋น แต่ใช้สัมผัสพิเศษ
รับบทโดย ริทสึ จากเรื่อง เคอง


---มารีศ---
เธอผู้มีสีหน้าเฉยเมยอยู่ตลอดเวลา
รักสันโดษ ชอบอ่านเขียนอยู่เงียบๆคนเดียว
เป็นหัวหน้าชมรม สารดีลึกลับและประวัติศาสตร์โลก
เป็นผู้สืบทอดลัทธิเก่าแก่ที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าและโลกที่สอง
รับบทโดย มิโอะ จากเรื่องเคอง


---กวิน---
ชายผู้เดียวในกลุ่ม Lady Wings
จึงกลายเป็นชายหนุ่มเนื้อหอมในทันที
เนื่องจากเป็นคนสุภาพ และใจกว้าง
จึงเป็นเหตุให้ผู้หญิงทุกคนคิดว่า เขามีใจให้
รับบทโดย โทจิ จากเรื่อง พีชเกิร์ล


----------------------------------------------------

**ขออภัยที่ใช้รูปการ์ตูนแทนการเขียนบรรยาย  เพราะชอบดูการ์ตูนมากกว่าอ่าน ก็บรรยายไม่เก่ง แต่ชอบคิดมากๆเลย  สนุกดี


ไฟ..ทำไม




สงสัย สงสัย
อยู่ดี ดี ก็สงสัย
ทำไมคนเราจะทำงานอะไรได้
ต้องมีไฟ   ต้องเติมไฟ
ทำไมถึงไม่เป็นน้ำ หรือ ลม หรือ ดิน
หรือ กระทั่งไฟฟ้า




ทำไมต้องไฟ..




"พอมีไฟ แล้วนึกคึกอยากทำ" เคยได้ยินเขาว่ากันอย่างนั้น

"เติมเชื้อเพลิงแล้ว  พร้อมที่จะทำงานแล้ว" อะไรทำนองนี้

ว่าแต่ทำไมต้องไฟ..

ไฟมันร้อน  ไฟมันร้อน ไฟมันอันตราย..(จะร้องเพลงหรือเปล่าเนี่ย)

ของร้อน  ชวนให้นึกถึง  เวลาใกล้จะส่งงาน แล้วนักเรียนมาเร่งปั่นงาน
มักใช้คำว่า "เผางานมาส่ง"

หมายความว่า เวลาจวนตัว  ใกล้จะหมดเวลาให้ทำ
ไฟในการทำงานถึงจะมาสินะ

"คนมันมีไฟ" คำนี้มักใช้กับคนที่ผลิตผลงานออกมาต่อเนื่อง และค่อนข้างดีซะด้วย

ไฟนี้  มีทั้งดี และไม่ดี

จะว่าไป  ไฟดีๆ ก็ให้แสงสว่างแก่เรา  อย่างดวงอาทิตย์ไง
แต่ผู้หญิงสมัยนี้มักเกลียดดวงอาทิตย์
หาทางปกปิดทุกวิถีทาง  ไม่ให้ดวงอาทิตย์มาสัมผัสตัวได้

ย้อนกลับมาที่ไฟ กับการทำงาน

"เครื่องร้อนแล้ว พร้อมเดิน"
"เครื่องติดแล้ว  พร้อมจะทำงาน"
แบบนี้  คนจะเข้าข่ายเครื่องจักร
หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรสักอย่างหรือเปล่า

หรือมันจะแค่การเปรียบเทียบกันเท่านั้นเอง
ว่าแต่คนเราจะไร้สาระถึงขนาดเปรียบเทียบมนุษย์ต่างดาวกับก้อนหินไหม
(เราเพ้อ เอ้ย เผลอใช้คำว่าไร้สาระกับผู้อื่น โดยที่ไม่ได้ดูตัวเองอีกแล้ว)

ในศาสตร์ตะวันออก  เชื่อกันว่า มนุษย์ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ (บ้างก็ว่า มีอากาศธาตุด้วย)
การที่มนุษย์ตะวันออกอย่างเรา จะสืบทอด คำว่า ไฟในการทำงานมา  น่าจะมีความหมายอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย  (เราว่านะ)

ท่านนักปราชญ์ตะวันออกได้ชี้แนะว่า
ดินในเราคือ  เนื้อหรือผิวหนังของเรา
น้ำในเราคือ  เลือด  น้ำเหลือง  น้ำย่อย
ลมในเรา คือ  ลมหายใจ  แก๊สในกระเพาะอาหาร  ลมตด
ไฟในเรา คือ อุณหภูมิร่างกาย  (ระบบเผาผลาญภายในร่างกายเรา  น่าจะเกี่ยวข้องกับไฟที่ทำงานร่วมกับลม)

...ที่กล่าวไปเพียงแค่ลักษณะทางกายของคน...


เคยได้ยินเรื่องที่ว่า คนแต่ละคนมีธาตุประจำตัวที่แตกต่างกัน
เชื่อว่า คนธาตุไฟ  น่าจะเป็นพวกที่ระบบเผาผลาญดี  ต่อให้กินไปเท่าไหร่ ก็ออกหมด
คนธาตุดิน-น้ำ  อาจจะสมบูรณ์ เพราะชุ่มชื้น และแน่นหนา
คนธาตุลมนี่เพียวลม ธ่าตุลมเป็นธาตุแห่งการเสื่อมสลาย

นี่วนมาเป็นเรื่องนี้ได้ไง
ทำไงได้  เมื่อพูดถึงไฟแห่งการทำงาน  ก็ต้องพูดถึงคนด้วย
เรื่องที่คนประกอบด้วยธาตุต่างๆก็มีสาระเกี่ยวเนื่องกัน
อีกทั้งการทำงานของคนแต่ละคนที่มันแตกต่างกันก็มีนัยมาจากเรื่องนี้

คนธาตุดิน-น้ำ อาจสุขุม แต่ก็เฉื่อยเนือยพอสมควร
คนธาตุไฟ  อาจเร่งรีบ กระตือรือร้น แต่ใจร้อน มุทะลุเกินไปได้
คนธาตุลมนี่ แปรปรวน  เอาแน่เอานอนไม่ได้

ศาสตร์ตะวันออกยังบอกอีกว่า
การกินก็มีผลต่อบุคลิกลักษณะนิสัยคนได้
แบ่งอาหารออกได้เป็นสามประเภท
หนึ่ง.ตมัส.เนื้อสัตว์  อาหารหนัก อาหารค้างคืน  แฮมเบอร์เกอร์ ไก่ทอด ทำนองนั้น
--ส่งผลให้เกิคความเอื่อยเฉื่อย  ง่วงเพลีย และขี้เกียจ--
ฤทธิ์คล้ายกับดิน-น้ำ
สอง.รชัส.พริก กระเทียม  เครื่องเทศ  อาหารรสจัด ของหมักดอง
--ส่งผลให้เกิดความกระตือรืนร้น  หงุดหงิด  โมโหง่าย--
ฤทธิ์คล้ายกับไฟ-ลม
สาม.สัตวะ.ธัญพืช  ผักผลไม้สด อาหารสดปรุงใหม่
--ส่งผลให้เกิดความสงบ สดชื่น มีชีวิตชีวา (และยังดีต่อร่างกาย)--
ฤทธิ์คล้ายกับธาตุทั้งหมดที่มีความสมดุลกันดี

คนเราต้องรู้จักตัวเองเพื่อรักษาตัวรอด
หากรู้ว่า เราร้อนดั่งไฟ ก็ใช่ว่าจะโหมไฟใส่ตัวให้โหมกระหน่ำ
รู้ว่าเราเย็นเฉียบดั่งน้ำ ก็ใช่ว่าจะต้องเย็นทุกครั้งไป

อย่างเรา ธาตุลม เป็นคนผอมบางที่เจ็บป่วยง่าย
เนื่องจากลมที่เป็นธาตุแห่งความเสื่อมสลาย
ก็จะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
มีกฏก็ชอบแหก แต่นึกจะเคร่งครัดก็เคร่งเว่อๆ
ที่สำคัญ โลเล และคิดมาก (ลมเป็นตัวขับเคลื่อนความคิดให้มันฟุ้งซ่าน)
แต่มีการกินอาหารแบบหนึ่ง.ตมัส
หลังจากกินก็มักขี้เกียจและนอน
แต่หากมีอะไรที่กำลังเห่อ(อยู่ในช่วงบ้าอะไรก็ตาม)
จะคลั่งอยู่กับสิ่งนั้น  จนไม่เป็นอันทำอะไร
เช่นกำลังติดอะนิเมะเรื่องหนึ่ง ก็ดูทั้งวี่ทั้งวัน
เค้าเรียกว่า คลั่งไคล้จนไฟลุก
ถ้าต้องให้ลุกไปทำอย่างอื่น ก็จะเอื่อยเฉื่อยทันที

เรามีความรู้เกี่ยวธรรมชาติ  ภัยธรรมชาติ  ก็เพื่อจัดการหรือรับมือกับภัยธรรมชาติให้ได้
แล้วความรู้เกี่ยวกับตัวเอง  เรามีไว้เพื่อทำลายตัวเองหรือ






5.5.55

วันแห่งการหัวเราะจะไม่ไร้สาระอีกต่อไป




อยากแต่งนิยายเว่อออออออออออออออออ
แต่เลือกเรื่องที่ีจะแต่งไม่ได้  มีเต็มหัวไปหมด หลายเรื่อง
เด๋วจับมาโยงกันมั่วซั่วหมดเลย
5555 หัวเราะให้สมกับที่เป็นวันแห่งการหัวเราะ

ก่อนอื่นเปลี่ยนเพลงก่อน
ฟังเพลงรัก จะแต่งนิยายแฟนตาซีออกมั้ยละ ไอ่บ้า
ฟังเพลงของ tahiti 80 จะได้สักเรื่องมั้ยลุง
ต้องได้สิ เราไม่มีเวลาแล้ว  พรุ่งนี้ก็ไปทำงาน มะรืน และถัดไปก็ตาย
โธ่ ชีวิตช่างสั้นนัก กำ!!!!

ลองหาเป้าหมายในการแต่งก่อน
อาจารย์ชอบเน้นให้เราตั้งวัตถุประสงค์เจ๋งๆ
ข้อหนึ่ง, ขาย เอาตังค์ แบบว่าเศรษฐกิจในครัวเรือนกำลังย่ำแย่
ข้อสอง, อยากสร้างแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่อยากเปื่อย
ข้อสาม, อยากเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมนักอ่าน
อยากบอกว่าข้อหนึ่งเละ และเป็นไปได้ยากที่สุด
ข้อสองพอเป็นได้ ข้อสามน่าจะพอไหว


งั้นเอาเป็นข้อหนึ่ง, สร้างแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ข้อสอง, ได้หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้อ่าน
ข้อสาม, เพื่อได้รับการยอมรับในสังคมแห่งการสร้างสรรค์นิยาย
ข้อสี่, เพื่อความฝันของเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง

ดูเหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจ  บันดาลก้อนลมมากระแทกบานหน้าต่าง
ฤกษ์งามยามดีแบบนี้ ต้องทำได้ สู้สู้  ไม่ตายต้องสู้

เรื่องแบบไหนที่จะทำให้เรารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ไม่อยากแต่งเรื่องเปื่อยๆ ที่ทำให้จิตตก จมกับวังวนแห่งความอัปยศ
เอาเรื่องแรงๆกระแทกใจ  จะได้มีพลังฮึกเหิม ดีปะวะ

Better Day will come lalala..la

ทำไมเราจะต้องถามหาวันเวลาดีดี แสดงว่าสิ่งที่เป้นอยู่นี้ มันไม่ดีเท่าไร
หรือไม่ก็เคยดีกว่านี้ แต่วันนี้ เวลานี้  ไม่ใช่  ไม่ได้ดั่งใจหวัง
เรื่องแต่งที่คนอ่านก็รู้ว่าไม่เป็นจริง แต่พร้อมที่จะเข้าไปสู่
มันยังไงกันนะ  เราอาจหลบหนีพักใจได้ชั่วครู่กับเรื่องแบบนั้น
แต่มันจะต้องสอนให้เรากล้าที่จะเผชิญกับความจริงที่เป็นอยู่ด้วย
เรื่องเครียดยังไงก็ต้องไม่เครียดไปกว่าชีวิตที่เป้นอยู่
และต้องไม่ไร้สาระไปกว่าที่เป้นอยู่
ดูเป็นเรื่องในอุดมคติมากเลย แต่เป็นเรื่องจริงของนิยายดีๆนะ

มาเจาะเป้าหมายคนอ่านก่อนดีมั้ย ใครจะอ่านได้บ้าง
วัยรุ่น คนทำงาน ทั่วไปอะ ไม่อยากฟิคซ์
แล้วแนวไหนกันล่ะ ที่คิดว่าจะแต่งในคราวนี้ (อีกแล้ว)

คิดออกและ ดูจากผลการสำรวจว่า นิยายประเภทไหนขายดี
มันมีหมวดการเมือง สังคม ศาสนา ปรัชญา เพิ่มเข้ามา
ทำให้เราได้โอกาสงัด ความรู้ปริญญาตรีมาใช้ได้แระ
เรามีแรงจูงใจมากพอที่จะให้แต่งนิยายแนวนี้
แต่มันค่อนข้างยาก และท้าทายไม่น้อย
จะแต่งนิยายปรัชญา มันก็ออกจะเหมาะกับผู้ใหญ่(รึป่าว)
ไม่นะ ขนาดเจ้าชายน้อย  เด็กยังอ่านได้
แต่อันนั้น มันชัดว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชน(ที่ผู้แต่งกะให้เด็กอ่านยันโต)
สำหรับคนอ่อนปสก อย่างเรายังไม่สามารถแต่งได้ขนาดนั้น มันเทพเว่อ

เพื่อนเราทำทีสิส แต่งหนังสือภาพปรัชญาศาสนา และแต่งนิยายปรัชญา
เขายังทำกันได้  เราก็้ต้องทำได้สิ อย่าได้แคร์ความอ่อนต่อโลกของเรา 55

เอานิยายปรัชญาที่วัยรุ่นอ่านได้  ถ้าทำได้ก็เริ่ดอยู่
จะเอาปรัชญาแบบไหนดี  เราชอบปรัชญาของตัวเอง เหอๆ
เรื่องเน้นๆเอาเป็นความรัก(จริงๆ) แล้วก็การแสวงหาตัวตน ความรู้ ความจริง
ค่อยดูเป็นปรัชญาหน่อย เอาขนมเคัก ไอติมมากลบเกลื่อน จะได้ดูไม่ออก

ถึงตอนนี้ อยากอ่านหนังสือให้มากขึ้น จะมีอะไรเขียน มีแนวทางเขียน




2.1.55

อารมณ์อยาก




เคยแบบว่านั่งๆเรียนอยู่ แล้วก็อยากแต่งนิยาย
ดูหนังแล้วอินจัดสักเรื่อง ก็อยากแต่งนิยาย
ฟังเรื่องเล่าแปลกๆจากคนอื่น ยิ่งอยากแต่งนิยาย

มีคำเด็ดๆที่ได้ฟังแล้ว มันขึ้นใจ
"มนุษย์เป็นผู้ทำลายโลกธรรมชาติ
โลกธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ดังนั้น จึงต้องทำลายมนุษย์"
เราคิดคำใหม่ขึ้นมาได้
--มนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องตาย--
คิดได้จากคาบเรียนจริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม

ดูหนังอิน อินหนังรัก
เพราะกำลังมีความรัก
และความรักไม่สมหวัง
ถ้าได้แต่งนิยายสักเรื่อง ก็คงจะตัดใจได้
เหมือนกับคนที่ผ่านมา
หวังว่านะ

ฟังเรื่องเล่าแปลกๆ
เรื่องจริงไม่อิงนิยายที่โคตรอภินิหาร

ได้ไอเดียเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์
มีแผนการกำจัดมนุษย์
แต่ดันมีตัวหนึ่งไปมีความรักกับมนุษย์
สิ่งมีชีวิตนั้น อาจจะเป็นเทพ หรืออะไรสักอย่าง
แม้ตัวละครจะดูโบราณๆ
แต่เราจะใส่ความล้ำหน้าไฮเทตสุดๆให้กับทวยเทพ
แบบว่าเอาเป็นเทพแบบแหวกแนว
ประมาณนั้น

อยากแต่งนิยายให้กับคนๆหนึ่ง
มันเปนธรรมเนียม  เวลาที่จากใคร
ต้องมีของขวัญร่ำลา

คืนนี้กลับไปคิดก่อน
คีเวิดมีความทรงจำโปสการดหมากฝรั่งเอ็มอารทีหนังสือ
พอแล้วม้างงงง เยอะ





18.12.54

เรื่องนี้โกหกคุณรึป่าววว




อยากแต่งนิยายที่มีชื่อว่า
เรื่องนี้โกหกคุณ
ถ้าเปนไปได้ก็จะวางแผนในวันเอพริลฟูอะนะ

พูดถึงคำว่าโกหก
ก็ต้องนึกถึงสิ่งที่ตรงข้าม
นั่นคือ ความจริง

แล้วอะไรกันล่ะที่เป็นความจริง
เรารู้ดีแค่ไหน
ว่าอะไรจริง  อะไรเท็จ

เรารู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เรารู้คือความจริง
แม้แต่บางครั้ง เราก็เชื่อประสาทสัมผัสของตัวเองไม่ได้
แล้วประสาทสัมผัสของคนอื่นจะเชื่อได้แค่ไหน

เราควรเชื่อตัวเองมากกว่า
หรือเชื่อคนอื่น
เชื่อครู เชื่อผู้รู้ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้ได้อย่างไร

ผู้รู้มักเป็นผู้ที่มีเหตุผลชวนอึ้ง
แล้วเหตุผลชวนอึ้งที่ว่า  เราคิดว่ามันจริงเสมอไปหรือ





2.12.54

หนึ่งจุดหนึ่ง--โลกในแบบที่ไม่เคยเป็น



"ช่วยด้วย ช่วยด้วยยยยย!!!"

เสียงหญิงสาวกรีดร้องดังมาจากที่ไหนสักแห่ง

ผ่านห้องเรียนชั้นม.๔ไป
เสียงเธอยังคงดังอยู่
ผ่านห้องเรียนชั้นม.๕ไป
เสียงยังแจ่มชัดในหู
ผ่านห้องเรียนชั้นม.๖ไป
เสียงเธอดังก้องยิ่งกว่าเดิม
กำลังเดินขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า

พอไปถึง..
ท้องฟ้าที่เคยโปร่งใสกลับมืดทึบทันตา
ภาพดาดฟ้าโรงเรียนถูกแทนที่ด้วยความดำมืด
รอบๆตัวเต็มไปด้วยหมอกสีหม่น

มองทางข้างหน้าไม่เห็นอีกต่อไป
และ ณ บัดนี้ เสียงกรีดร้องที่เคยได้ยินกลับหายไป

คนที่อยากจะร้องกลับเป็นตัวผมเอง
ขาสั่นจนก้าวไปไม่ออก

"แม่จ๋า พ่อจ๋า ช่วยด้วยยยยยย"

เสียงอีกาแผดร้องระงม  กา กา ก้องในโสตประสาท

"พ่อจ่า แม่จ๋า พ่อ แม่.. เจ้าป่าเจ้าเขา  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.."

กา กา กาาา..

"ช่วยผมด้วย  แม่จ๋า!!!!!"

ผมหอบหายใจเหมือนหมาวิ่ง  ขยี้ตามองดูเพื่อน ดูอาจารย์  ห้องเรียนในยามนี้ ดูแปลกตาไปจากเคย
มันเงียบกริบเกินไป  และทุกคนกำลังจ้องมองมาที่ผม

วะฮะฮะฮะฮ่า
ฮ่าฮ่า
ฮะฮะฮะฮ่า

เสียงหัวเราะจากทุกมุมห้องดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกันสอดประสานรับกันอย่างเหมาะเจาะ
แม้แต่อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนก็ยังแอบขำ

"ว้าย เด็กน้อย ร้องหาแม่หิวนมหรอ"
"ฝันร้ายเหรอว่ะ ไอ่เคย"
"อาจารย์เล่นมันเลย  แอบหลับ ไม่สิ แบบนี้คงไม่เรียกว่าแอบแล้ว"
"ไงว่ะ เคย ฝันว่าอิพ็อยซ์ไล่ปล้ำหรอ"
"อิบ้าก๋อง  ฉันจะปล้ำมันทำไม"
"เพ้อว่ะ เคย"
"กูว่าแม่ง.."


นักเรียนในห้องระเบิดเสียงดังตะโกนแข่งกัน
อาจารย์ที่ยืนหน้าห้องทนไม่ไหววิ่งออกจากห้องไป

"เห้ยๆ พอได้แล้ว  จารเรืองงอน ร้องไห้ออกไปแล้ว"

เสียงอ็อดดังยาวหนึ่งที
นักเรียนทั้งห้องร้องเฮ  วิ่งสวนกันออกมาจากห้อง

เฮ้ออออ..
ผมถอนหายใจ
คิดในใจว่า เป็นอีกวันแย่ๆวันหนึ่งที่ผ่านพ้นไป

เสียงหวานใสเรียกให้ผมหันหลังกลับไป
"เคย  เธอลืมหนังสือนะ"
น้ำหวานยิ้มให้ผม  ยื่นหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นม.๔มาให้
ผมยืนตาค้าง หยุดนิ่งเหมือนหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง

"เอ้า  รับไปสิ"
"อืมม.."
ผมรับหนังสือมา  จะพูดว่าขอบคุณ แต่ปากมันแข็งจนขยับไม่ได้
ตามองดูลีลาพริ้วไหวของกระโปรงน้ำหวาน  เวลาเธอเดินลับหลังจากไป

หนังสือวิชาประวัติศาสตร์เล่มนี้ยังคงอยู่ในมือผม
ตั้งแต่เดินกลับบ้าน  กินข้าว  เล่นเกม แม้แต่ตอนนอนก็ต้องกอดมันเอาไว้

ผมหลับตาลง
สติเริ่มเลื่อนลอย
คลับคล้ายคลับคลาว่า ผมจะหลับ

หมอกสีออกเทารายล้อมรอบตัวผม
ทางข้างหน้าเป็นสีดำมืด
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความมืด
รอยยิ้มก่อนนอนของผมค่อยเจือนลง
ผมไม่กล้าขยับตัวไปไหน
จะมีผีหรือตัวอะไรโผล่ออกมาไหมนะ

เสียงอีกาแผดร้องระงม  กา กา ก้องในโสตประสาท

ผมสะดุ้งตกใจเสียงอีกา
วิ่ง วิ่ง วิ่ง
ผมวิ่งโดยไม่ต้องใช้สมองออกคำสั่ง
ผมหยุดมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
รู้สึกสับสนเหลือเกิน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ผมจะต้องวิ่งหนีไปถึงเมื่อไหร่กัน

ผลุบ!!!
ผมตกลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง
มันมืดมิดสนิทจนเหมือนว่าผมกำลังหลับตา

เสียงผิวปากหวานใส  ไพเราะจนผมเริ่มจะเคลิ้มหลับไป

รู้ตัวอีกที  เหมือนผมหลับไป
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็น

โลกในแบบที่ไม่เคยเป็น
หรือผมเข้าใจผิดว่ามันคือโลก